การถ่ายภาพเพื่อให้ภาพที่ได้มีขนาดใหญ่นั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเข้าไปถ่ายใกล้ๆ
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ เอ๊ย..ม่ายช่าย
ยิ่งใกล้ยิ่งใหญ่ครับ
ยกตัวอย่างการถ่ายภาพนางแบบสาวที่อยู่ห่างเรา
1
กิโลเมตรย่อมได้ภาพนางแบบที่ตัวเล็กยังกะมด
เมื่อเราเอาเลนส์เข้าไปใกล้ๆ
นางแบบสักประมาณ 6
เมตรก็จะได้ภาพนางแบบเต็มตัวที่พอเหมาะกับขนาดของภาพ
หากเราเลื่อนกล้องไปใกล้ประมาณ
2
เมตรก็จะได้ภาพครึ่งตัวที่มีขนาดใหญ่เต็มจอ
แต่ถ้าเลือนเข้าไปใกล้สุดที่เลนส์จะเข้าไปใกล้ได้ซึ่งมีระยะประมาณ
50 ซม.
ก็จะได้ภาพเฉพาะหน้านางแบบที่หูขาด
แต่ถ้าเราต้องการถ่ายเฉพาะฟันของนางแบบสัก
1
ซี่ล่ะครับจะทำอย่างไร
( พอดีคนถ่ายเป็นทันตแพทย์
คงจะถ่ายเก็บฟันสวยไว้เป็นตัวอย่างให้ลูกค้าคนอื่นดู
)
จะเลื่อนเลนส์เข้าไปใกล้กว่านี้ก็ไม่ได้แล้วเพราะว่าสุดระยะโฟกัสใกล้สุดของเลนส์ธรรมดาแล้ว
ถึงแม้เลนส์ทั่วๆ
ไปจะถ่ายภาพใกล้ๆ
ไม่ได้แต่ช่างภาพก็ยังต้องการที่จะถ่ายภาพใกล้ๆ
เช่นภาพดอกไม้ แมลง ฟัน
และวัตถุเล็กๆ
ดังนั้นทางบริษัทผู้ผลิตเลนส์จึงได้ผลิตเลนส์ที่มีความสามารถที่จะเข้าไปถ่ายใกล้ๆ
กว่าปกติได้
เลนส์นั้นเราเรียกว่า Marco
Lens เลนส์มาโคร
นี่เองคือความแตกต่างของเลนส์ธรรมดากับเลนส์มาโคร
ส่วนระบบการทำงาน
การวางชิ้นเลนส์อย่างไร
เราคงไม่จำเป็นต้องไปรู้เพราะปวดหัวที่จะศึกษามัน
ขอเพียงรู้ว่าตัวไหนดีไม่ดีอย่างไร
อัตราขยายมากน้อยเพียงไร
เท่านั้นเอง
โปรดดูตารางคุณสมบัติของเลนส์เพื่อการเปรียบเทียบกับเลนส์เทเล
- ซูมธรรมดา - ซูมมาโคร -
เลนส์มาโคร
เลนส์ |
มุมรับภาพ |
ระยะโฟกัสใกล้สุด
( ซม.) |
อัตราขยายในช่วงมาโคร |
น้ำหนัก
( กรัม ) |
SP
500mm.F/8 |
5 |
170 |
1
: 3 |
595 |
AF28-80mm.F/3.5-5.6 |
75-30 |
70 |
1
: 8 |
237 |
AF24-135mm.F/3.5-5.6
MARCO |
84-18 |
40 |
1
: 3.3 |
530 |
AF90mm.F/2.8
MARCO |
27 |
29 |
1
: 1 |
420 |
|
อัตราขยายในช่วงมาโคร
เช่น 1:1 หรือ 1:2
หมายความว่า
อัตราส่วนของวัตถุจริง
:
อัตราส่วนของภาพที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์ม
ยกตัวอย่างเช่น
อัตราขยาย 1:1
ถ้าดอกไม้ขนาด 1 ซม.
เมื่อเข้าไปถ่ายใกล้สุดจะได้ภาพบนฟิล์มขนาด
1 ซม. เท่ากับวัตถุจริง
อัตราขยาย 1:2
ถ้าดอกไม้ขนาด 1 ซม.
เมื่อเข้าไปถ่ายใกล้สุดจะได้ภาพบนฟิล์มขนาด
0.5 ซม.
เท่ากับครึ่งหนึ่งของวัตถุจริง
( เล็กลง )
ที่ยกตัวอย่างข้างบนเป็นอัตราส่วนขยายในช่วงมาโครหมายถึงอัตราขยายที่เกิดจากการเลื่อนเลนส์เข้าไปใกล้วัตถุ
ไม่ใช่อัตราขยายจากอัตราขยายของเลนส์เทเลที่ขยายจากการรับภาพในมุมแคบๆ
อัตราขยายในช่วงมาโครที่กล่าวมาเป็นอัตราขยายระหว่างขนาดวัตถุจริงกับขนาดภาพที่ปรากฎบนแผ่นฟิล์ม
ส่วน
กำลังขยายของเลนส์มาโครที่ว่า
กี่เท่านั้น
เป็นอัตราขยายที่ตาเรามองเปรียบเทียวกับขนาดที่มองด้วยตาเปล่ากับการมองผ่านเลนส์
เช่น 50มม.เห็นภาพขนาดปกติ
คือ
มองด้วยตาเปล่าเห็นนางแบบหัวโตตัว
1 เมตร
เมื่อมองผ่านเลนส์ก็ยังโต
1 เมตร ส่วนเลนส์เทเล 200
มม. ( 200 / 50 = 4 เท่า )จะขยายเป็น
4 เท่าคือ 4 เมตร
นี่คือกำลังขยายจากกำลังขยายของเลนส์ที่เกิดจากการรับภาพในมุมแคบ
ภาพที่ปรากฎบนแผ่นฟิล์มก็มีขนาดใหญ่กว่าการถ่ายด้วย
Normal Lens ถึง 4 เท่า เลนส์เทล
500 มม ขยายเป็น 10
เท่าของเลนส์ 50 มม
ภาพที่ปรากฎบนฟิล์มก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น
10 เท่าของเลนส์มาตรฐาน
โอ้โห ใหญ่จัง ใหญ่ตั้ง
10
เท่าก็น่าจะใหญ่กว่าการถ่ายด้วยเลนส์มาโคร
แต่ลองขึ้นไปดูตารางเปรียบเทียบ
เลนส์ 500มม.
มีอัตราขยายสูงสุด 1:3
นั่นหมายความว่าถ่ายดอกไม้ขนาด
1 ซม.
ภาพที่ได้บนแผ่นฟิล์มจะมีขนาดเพียง
0.33 ซม. ( 1/3=0.33 ) แต่เลนส์มาโครมีกำลังขยาย
1:1 ภาพที่ปรากฎบนแผ่นฟิล์มมีขนาดเท่าของจริงคือ
1 ซม.
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ลองกลับไปดูที่ตารางอีกครั้ง
ดูที่ระยะใกล้สุดของเลนส์
เลนส์ 500มม.ถ่ายใกล้สุดที่
170 ซม. แต่เลนส์มาโคร 90มม
ถ่ายใกล้ได้ถึง 29 ซม.
ก็เหมือนกับการนั่งมวยที่ขอบเวทีย่อมเห็นภาพนักมวยตัวใหญ่กว่าการใช้กล้องส่องทางไกลขนาด
10
เท่าแต่ส่องดูจากยอดตึกสูง
87 ชั้น ยังไงยังงั้นเลยเชียวล่ะ
เข้าใจซะทีซิคร๊าบบบ
ถ้ายังไม่เข้าใจล่ะก็ไปเสียสะตังค์
90
บาทไปซื้อหนังสือมาอ่านเถอะครับ
อ่านได้ 7
วันหลุดออกเป็นแผ่นใครแผ่นมัน
ติดกาวให้แน่นแค่นี้ติดไม่ได้
ไม่รู้เมื่อไรจะปิดโรงพิมพ์ไปเสียที
เนอะ !
ข้อดีของเลนส์มาโคร
ของใครดีไม่ดีอย่างไรเขาวัดกันที่
อัตราขยายของภาพ ความคมชัด
ความถูกต้องของสี
และความสว่างของเลนส์
ทางยาวโฟกัสของเลนส์มาโครที่ผลิตออกมาขาย
มี เลนส์มาโคร 50 มม, 55 มม, 90
มม, 100 มม, 105 มม.สูงกว่านั้นไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า
อัตราขยายในช่วงมาโครมีทั้ง
1:1 และ 1:2 ขึ้นอยู่กับ
ขนาดไหนที่เหมาะกับการใช้งาน
แต่ละขนาดดีอย่างไร
ขนาด
50 มม.
มีข้อดีที่ภาพที่มองผ่านเลนส์ไม่มีการขยายทำให้ภาพที่เห็นผ่านเลนส์ไม่สั่นไหวง่าย
แต่ก็มีข้อเสียคือ
การถ่ายต้องเข้าไปใกล้กว่าเลนส์ที่ทางยาวโฟกัสสูงกว่า
เช่น 90 มม 105 มม
เมื่อเข้าไปใกล้มากๆ
ลองคิดดูถ้าเราจะถ่ายผีเสื้อแล้วเราต้องเลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ๆ
จะถ่ายได้อย่างไร
ก็เพราะว่าผีเสื้อมันบินหนีไปซะก่อน
คงต้องรอให้ผีเสื้อมันนอนหลับซะก่อนละมัง
แต่ก็มีข้อดีสำหรับการถ่ายวัตถุที่อยู่นิ่งๆ
เช่น วัตถุโบราณ พระ
เหรียญต่างๆ
ดอกไม้ที่สั่นไหวได้แต่บินหนีไม่ได้
ขนาด
90 มม.
มีข้อดีที่มีอัตราขยายจากเทเลเป็นทุนอยู่แล้ว
ไม่ต้องเข้าไปใกล้มากๆ
อย่างเลนส์ 50 มม.
ทำให้ถ่ายสัตว์เล็กๆ
ได้ง่ายกว่า
ช่วงนี้ถือว่าเป็นกำลังขยายที่กำลังดี
ขนาด
100-105 มม. (
ใกล้กันถือเป็นพวกเดียวกันเลยละกัน
) มีข้อดีเหมือนข้อแรก
แต่ก็มีข้อเสียนิดนึงที่ภาพสั่นไหวง่ายกว่าเพราะภาพมีอัตราการขยายจากกำลังเทเลมากกว่า
แต่เขาก็ว่าช่วงนี้กำลังดีเพราะเป็นช่วงที่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมากที่สุด
ที่ถ่ายคนครึ่งตัวแล้วหน้าไม่เบี้ยว
ก็ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อล่ะครับว่าต้องการซื้อเลนส์มาโครไปถ่ายดอกไม้
สัตว์เล็กๆ
หรือจะเอาไปถ่ายคน
เลนส์เทเล
105 mm.F2.8 ช่วงนี้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล
เลนส์105
mm.F2.8 Marco
เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมาโคร
บางคนเถียงหัวชนฝาว่า
เลนส์มาโครนี่ล่ะถ่ายภาพนางแบบที่สวยที่สุด
ดีกว่าเลนส์เทเล 105 ซะอีก
อันนี้เห็นด้วย
ก็เจ้าของผู้ยอมควักกระเป๋าตังค์จ่ายค่าเลนส์มาโครที่มีราคาแพงแสนแพงถ้าถ่ายมาแล้วตัวเองว่าไม่สวยคงเสียใจแย่
แต่ถ้าถ่ายมาแล้วใครเห็นว่าไม่สวย
แต่เราเจ้าของเงินเห็นว่าสวยก็โอเคแล้ว
ถือว่าคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป
เหมือนฝรั่งหล่อๆ
ที่มองสาวไทยตัวดำๆ
ว่าสวยกว่าสาวขาวๆ
ที่คนไทยคิดว่าสวย
คำว่าสวยไม่สามารถวัดค่าได้เหมือนกับเครื่องวัดแสง
อยู่ที่ความพอใจ
ที่สำคัญที่สุดคืออยู่ที่ความพอใจของเจ้าของเงิน
อธิบายมายืดยาว
คนอ่านก็ตาลาย
คนพิมพ์ก็ตาลายแถมเมื่อยมืออีกต่างหาก
หากผิดพลาดประการใดหวังว่าคงไม่ว่ากัน
เพราะข้าน้อยรู้เพียงปูๆ
ปลาๆ ครับ
|