ฟิล์ม...
มีมากมายหลายชนิดหลายขนาดให้เลือกใช้ตามประเภทของกล้องนั้นๆ
ฟิล์มสำหรับกล้อง SLR
เป็นฟิล์มขนาด 135 มม.
บรรจุอยู่ในกักฟิล์มมีจำนวน
24 และ 36 ภาพ
ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
ฟิล์มแบ่งเป็น
3 ประเภท คือ
ฟิล์มเนกกาตีฟขาว-ดำ
ภาพที่ได้จากการอัดภาพจากฟิล์มจะเป็นขาว-ดำ
ความนิยมค่อนข้างน้อยลงไปในปัจจุบัน
แต่ก็ยังมีนักถ่ายภาพผู้อนุรักษ์ให้ความสนใจถ่ายภาพขาวดำเก็บไว้
ซึ่งสามารถเก็บไว้ดูได้ทนนาน
ดูอย่างภาพเก่าๆ
ในอดีตที่เราเคยได้เห็นจากหนังสือ
จากนิทันศการภาพถ่าย
ถึงแม้เวลาของภาพนั้นจะผ่านมานานแสนนาน
แต่สีก็ยังคมชัด
ตรงข้ามกับภาพสีที่เวลาผ่านไปไม่นานภาพจะมีสีเหลืองหรือสีซีดลงไป
ค่าอัดล้างภาพขาวดำค่อนข้างแพงเพราะจำนวนผู้ใช้เหลือน้อยมาก
ฟิล์มเนกกาตีฟสี
เป็นฟิล์มถ่ายภาพที่เราใช้กันทั่วไป
ภาพที่ได้จากการอัดจากฟิล์มชนิดนี้จะเป็นภาพสี
ส่วนภาพที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์มจะเป็นสีตรงกันข้าม
เราจึงเรียกฟิล์มชนิดนี้ว่า
ฟิล์มสีเนกกาตีฟ
ค่าล้างอัดภาพฟิล์มชนิดนี้มีราคาต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับฟิล์มชนิดอื่นๆ
ทั้งนี้เพราะว่ามีใช้กันอย่างแพร่หลาย
ต้นทุนจึงถูก ค่าอัดภาพขนาด 4 x
7 นิ้วเพียง 3-5.5
บาทแตกต่างกันแล้วแต่ร้านและคุณภาพของกระดาษที่ใช้
ฟิล์มประเภทนี้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่วๆ
ไปที่ต้องการอัดล้างภาพออกมาดูกันเป็นอัลบั๊ม
ตัวอย่างภาพที่ปรากฎบนฟิล์มสี
และ
ภาพที่ได้จากการอัดลงบนกระดาษอัดภาพ
ฟิล์มสไลด์สี
ต่างจากฟิล์มเนกกาตีฟสี
คือภาพที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์มชนิดนี้เป็นภาพสีเหมือนจริง
เราสามารถส่งองฟิล์มไปยังพื้นที่ที่สว่างเพื่อชมภาพได้โดยตรง
ฟิล์มชนิดนี้ทำความคมชัดสูงที่สุดเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในการพิมพ์หรือการขยายใหญ่
และเพื่อการใช้สำหรับการนำเสนอภาพโดยเครื่องฉายสไลด์และถ่ายเก็บไว้ดูนานๆ
โดยที่สีไม่เปลี่ยนแปลง
ต่างกับฟิล์มสีที่คุณภาพของฟิล์มและภาพที่อัดไว้ลดลงอย่างรวดเร็ว
ราคาฟิล์มแพงกว่าฟิล์มสีแต่ค่าล้างถูกกว่า
สรุปแล้วราคาต่อภาพพอๆ กัน
ฟิล์มชนิดนี้ให้ความคมชัดสูง
ความถูกต้องของสีสูงมาก
ภาพที่ถ่ายจากฟิล์มสไลด์สามารถนำไปอัดเป็นภาพสีได้แต่ค่าอัดค่อนข้างมีราคาสูงมาก
ภาพสีขนาด 4 x 7 นิ้ว ราคาภาพละ 15-25
บาท ( แล้วแต่แล๊ป )
ดังนั้นฟิล์มสไลด์จึงเหมาะสำหรับการถ่ายไว้เพื่อนำเสนอโดยเครื่องฉายสไลด์หรือเพื่อการพิมพ์ไม่เหมาะกับการอัดล้างมาเป็นภาพสีเพราะสิ้นเปลืองมาก
ตัวอย่างภาพที่ปรากฎบนฟิล์มสไลด์ถ่าย
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์ต้องระวังการวัดแสง
เพราะฟิล์มสไลด์มีค่าความผิดพลาดของแสงต่ำหากวัดแสงผิดไปเพียง
½ stop
ก็สามารถสังเกตเห็นถึงความแตกต่างแล้ว
หากผิดไปสัก 1 stop
ย่อมทำให้คุณภาพของภาพที่ได้ผิดเพี้ยนไป
ต่างกับฟิล์มเนกกาตีฟสีที่วัดแสงผิดไป
1 stop
ภาพที่ได้ยังแทบมองไม่เห็นค่าความแตกต่าง
ความไวแสงฟิล์ม
ฟิล์มแต่ละชนิดที่ผลิตมามีความไวแสงที่แตกต่างกันให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละงาน
ความไว้แสงของฟิล์มบอกเป็นค่า
ISO เช่น ISO50, ISO100, ISO200, ISO400, ISO800, ISO1000 , ISO1600
ตัวเลขที่มีค่าต่ำๆ
เป็นฟิล์มที่มีความไว้แสงต่ำต้องใช้เวลาในการรับแสงที่ยาวนานกว่า
ตัวเลขที่สูงๆ
เป็นฟิล์มที่มีความไว้แสงสูง
ใช้ช่วงเวลาในการรับแสงสั้นกว่า
ฟิล์มความไว้แสงสูงๆ
เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยเช่น
ถ่ายภาพในงานพิธีที่ห้ามใช้แฟชท
หรือกรณีแอบซูมถ่ายภาพสาวที่โป๊ๆ
ตามคอนโดหรือหอพัก ถ้าหากใช้แฟชทหล่อนก็จะรู้ว่าเราแอบถ่ายแล้วก็แจ้งตำรวจจับ
ฟิล์มที่มีความไวแสงไม่สูงมากนักเช่น
ISO 200
เหมาะสำหรับการถ่ายในงานวิธีที่ใช้แฟชท
ค่า ISO
ที่เพิ่มขึ้นทำให้ขนาดรูรับแสงลดลงไป
1stop
มีผลทำให้ความชัดลึกของภาพมีมากขึ้น
บางคนคิดว่าความไวแสงของฟิล์มที่สูงขึ้นยิ่งเป็นผลดีสำหรับการถ่ายภาพแล้วยิ่งราคาของฟิล์ม
ISO 200 มีราคาสูงกว่า ISO 200 เพียง 5
บาท
ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจทีจะเลือกซื้อฟิล์มที่มีค่าความไว้แสงฟิล์มที่สูงกว่า
แต่ก่อนที่จะเลือกขออธิบายให้เข้าใจก่อนว่าคุณสมบัติที่เราต้องการได้จากฟิล์มคือ
ความคมชัดหรือความละเอียดของภาพ
ฟิล์มยิ่งมีค่าความไวแสงยิ่งต่ำความคมชัดยิ่งสูง
ความไว้แสงยิ่งสูงๆ
จะมีความคมชัดหรือความละเอียดของภาพลดลง
เช่น ISO 1600
เกรนของภาพจะหยาบมากเหมือนกันเม็ดทราย
ยิ่งถ้าเรานำไปอัดขยายใหญ่จะยิ่งเห็นได้ชัดเจน
ดังนั้นจงขอให้พิจารณาก่อนว่าเราต้องการความไว้แสงที่สูงกว่าไปเพื่ออะไร
ถ้าใช้สำหรับถ่ายที่แสงน้อยและต้องใช้แฟชทก็โอเคแต่ถ้าใช้สำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยวทั่วไปที่มีแสงสว่างเหลือเฟือ
เลือกความไวที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีขายในตลาดจะดีที่สุดนั่นก็คือ
ISO 100
ประหยัดเงินและได้ความคมชัดความละเอียดของภาพที่เพิ่มขึ้น
( ISO 50 สำหรับสไลด์ )
|